ความผิดของใคร ?? เมื่อสามีเปิดใจว่าเป็นเกย์

นับเป็นปัญหา “บ้านแตก” อีกปัญหาหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะทันสมัย เพราะแต่ก่อนแต่ไรผู้หญิงไทยของเรา แทบจะไม่เคยมีใครประสบปัญหาแบบว่าโลกเบี้ยวแบบนี้ ไม่เชื่อ …คุณผู้อ่านลองนำปัญหานี้ ไปเรียนปรึกษาคุณย่าคุณยายที่ต่างจังหวัดดูสิคะ เรียนถามท่านว่า “คุณย่าขา ทำอย่างไรดีคะสามีหนูมีแฟนใหม่เป็นผู้ชาย ???” คาดว่าท่านคงส่ายหน้าหมดปัญญาช่วยหลานในเรื่องที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนอย่างนี้ หลังจากหายตกตะลึงแล้วคงมีคำรำพึงรำพันจากปากท่านตามมาว่า “เออหนอ!!! โลกนี้ทำไมมันวิปริตผิดเพศเข้าไปทุกวัน”

* ทำไมถึงต้องเป็นเกย์

ผู้ชายหลายคนกว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็น “เกย์” เป็นผู้ชายที่มีความต้องการและมีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ก็หลังจากแต่งงานมีภรรยา มีลูกแล้ว ที่สหรัฐอเมริกา Homosexual ไม่ถือว่าเป็นโรคทางจิตเวช ดังนั้นจึงไม่มีการรักษา มีผลการวิจัยจากฝาแฝดแท้เพศชายหลายคู่ที่แยกกันอยู่ตั้งแต่ยังเด็กพบว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นเกย์อีกคนก็จะเป็นเกย์ด้วย ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับการวิจัยที่ระบุว่าเกย์เป็นการติดต่อทางพันธุกรรม เกิดจากเกย์ยีนที่ชื่อว่า Xq 28 ซึ่งอยู่ในโครโมโซม X

* เกย์มีกี่ประเภท

หากจะแบ่งกลุ่มชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายที่พิสมัยไม้ป่าเพศ เดียวกันตามบุคลิกลักษณะการแสดงออกแล้ว สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้ค่ะ

ประเภทที่หนึ่ง สว่างจิต ชายหนุ่มในกลุ่ม “สว่างจิต” นี้ นับว่าสร้างปัญหาให้กับสาวๆ น้อยมากค่ะ เพราะต่อให้คุณท่านหล่อล่ำอย่างไร ลักษณะการเดินบิดก้นที่เห็นมาแต่ไกลบ่งบอกได้ดีค่ะว่า คุณพี่เป็นผู้ชายนะยะ

ประเภทที่สอ สลัวจิต สาวคนไหนกำลังจะตกหลุมรักหนุ่มหล่อ แต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า กรุณาพิจารณาให้ดีนะคะว่า เวลาไปรับประทานอาหารด้วยกัน คุณพี่ท่านเผลอมีอาการกรีดนิ้วตอนไหนบ้างหรือเปล่า ชายหนุ่มกลุ่มนี้ไม่ได้ตั้งใจหลอกใครหรอกค่ะ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในระหว่างกำลังตัดสินใจ ไม่แน่ใจ สับสนตัวเองอย่างมากว่า …เราใช่เกย์หรือเปล่า อะไรประมาณนี้ค่ะ

ประเภทที่สาม แอบจิต ประเภทนี้แหละค่ะที่สร้างปัญหาให้กับ คุณภรรยาทั้งหลาย มีผู้หญิงคนไหนไม่ตกใจบ้างคะที่อยู่ๆ คุณสามีที่แต่งงานกันมาสับปี มีลูกด้วยกันสองคนเดินเข้ามาบอกว่า “ขอโทษนะครับที่รักผมเป็นเกย์ ???” เกย์ประเภทแอบจิตนั้นถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกออกมาว่าเขา “ใช่” ก็อย่าหวังเลยค่ะว่าใครจะดูออก ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไป ผู้ชายด้วยกันหรือเกย์ด้วยกัน เพราะแม้กระทั่งภรรยาที่อยู่กินกันมายังไม่ระแคะระคายแล้วคนอื่นจะทราบได้ อย่างไรจริงไหมคะ

* ทำอย่างไร ? ถ้าสามีเปิดใจว่าเป็น “เกย์”

1. ต้องเผชิญหน้ากับความจริง จิตแพทย์ ประจำคลินิกครอบครัวและสุขภาพทางเพศ โรงพยาบาลพญาไท 2 คุณสุกมล วิภาวีพลกุล ได้กรุณาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “…แม้ว่าการเผชิญหน้าในเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่อึดอัด แต่เราต้องเผชิญหน้าให้ได้ครับ การเผชิญหน้าคือ การเผชิญต่อความเป็นจริง เพราะไม่อย่างนั้นชีวิตเรา จะอยู่กับสิ่งที่เป็นความลวงหรือมายาตลอด และเราก็ไปหลงใหลมีความสุขอยู่กับสิ่งที่เป็นความลวง ความจริงที่เผชิญมาถึงจุดนี้แล้วเราจะต้องเปลี่ยนความรักในเชิงเสน่หามาเป็น ความรักแบบเมตตาเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน หลังจากที่สงบจิตใจได้แล้ว ลองมาดูว่า ในชีวิตสามีภรรยาที่เราดำเนินกันมาเป็นสิบปี จะยังคงดำเนินต่อเนื่องไปแบบกัลยาณมิตรแล้วตัดเรื่องเซ็กซ์ออกหรือว่าจะแยก ทางกันครับ…”

2. ใช้หลักศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในหนังสือ My husband is Gay ที่เขียนโดยคุณแครอล กรีเวอร์ สุภาพสตรีชาวอเมริกันซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดย คุณจงจิต บิลแคนอน ได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ตรงอันแสนขมขื่นในช่วงหนึ่งของชีวิตเธอที่วันหนึ่ง สามีผู้แสนดีอยู่กินกันมาร่วมสามสิบปี มีลูกชายด้วยกันสองคน มาบอกกับเธอว่า… เขาเป็นเกย์!!! เธอ “ทำใจ” อย่างไร ?? กับความทุกข์ทรมานใจที่ได้รับในครั้งนั้น คุณแครอลได้ให้สัมภาษณ์กับ Thaimental.com เมื่อครั้งที่เดินทางมาเมืองไทยว่า

”…ช็อคและตกใจมากค่ะ เขาเป็นคนที่ปกปิดได้ดีมาก ในช่วงสามสิบปีไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาเป็น homosexual เขาทำได้แนบเนียนมาก เขามีชีวิตที่เป็นเกย์อีกชีวิตหนึ่งเวลาที่เขาออกไปนอกบ้าน… ตอนแรกที่เขามีอาการเย็นชา มีความรู้สึกว่าเป็นความผิดของเรา เกิดอะไรขึ้นกับเรา เราไม่สวยพอหรือเปล่า เราอ้วนไปหรือเปล่า… ชีวิตในช่วงนั้นผ่านการชอกช้ำ การตกใจมาหลายอย่างมาก อยากจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็หาไม่ได้ พยายามหาทางออก หาทางแก้ไข จนกระทั่งได้มารู้จักศาสนาพุทธ ได้ฝึกนั่งสมาธิ เพื่อหาจุดที่จิตใจสงบ และค้นหาว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร นั่นคือได้คิดและค้นหาตัวเองและเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดกับอะไรค่ะ… ” นั่นคือ คุณแครอลกำลังจะบอกเพื่อนหญิงที่ประสบปัญหาเดียวกับเธอให้หาทางออกโดยใช้ หลักศาสนาเข้าช่วย ในการทำใจและปล่อยวางใช่ไหมคะ

3. หันหน้ามาปรึกษากัน เพื่อเลือกแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว จิตแพทย์สุกมลกล่าวว่า “…เราจะได้รับการปรึกษาอยู่บ่อยๆ ครับ ผู้หญิงวัยสี่สิบกว่าๆ ขึ้นไปจนถึงห้าสิบปี มารู้ว่าสามีเปิดเผยว่าเป็นเกย์เขาจะมีความรู้สึกช็อคและทำอะไรไม่ถูก จะอยู่ในภาวะวิกฤตที่สับสน… ถ้าเป็นเกย์แล้วจะมาพบหมอเพื่อเปลี่ยนแปลงให้ชอบเพศตรงข้ามพบว่า อัตราความสำเร็จไม่มีครับ เพราะ homosexual สมาคมจิตแพทย์อเมริกันไม่ได้ถือว่าเป็นโรคทางจิตเวช เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการรักษา… ” เมื่อความเป็นเกย์ไม่อาจเยียวยารักษาเราจะหาทางออกอย่างไร ??? คุณแครอลให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “…15% ในอเมริกาหลังจากทราบว่าเป็นเกย์แล้วก็ยังอยู่ด้วยกันต่อไปด้วยเหตุผลหลาย ประการค่ะ อาจจะเป็นเพราะทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อลูก หรือหน้าที่การงานค่ะ แต่ 85% ตัดสินใจที่จะหย่า…”

จิตแพทย์สุกมลได้กรุณาให้ข้อคิดว่า …อย่างไรก็ตามความเป็นเกย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ไม่ใช่การติดยาเสพติด ไม่ใช่เรื่องการโกงบ้านกินเมือง แต่เหมือนคนที่มีอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่นเท่านั้น… หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วทั้งคุณสามีและคุณภรรยาควรจะหันหน้ามาทำความเข้าใจกัน เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของตนเองค่ะ พยายามอย่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์นะคะ อย่างน้อยก็เพื่อลูกและมิตรภาพอันดีที่มีต่อกันมายาวนานค่ะ… ปัญหาทุกอย่างมีหนทางแก้ไขเสมอ แต่ต้องเริ่มที่ “ใจ” ของเราก่อนนะคะ

ที่มา… นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 กันยายน 2547